สโมสรฟุตบอลระดับท็อปของอังกฤษ

 สโมสรฟุตบอล


     1 Manchester City


 ประวัติสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

  • ชื่อเต็ม : Manchester City Football Club
  • ฉายา : เดอะ ซิตี้เซนส์ / ฉายาในไทย เรือใบสีฟ้า
  • ก่อตั้ง : ค.ศ. 1880
  • สนาม : ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม / เอติฮัด สเตเดี้ยม (ความจุ: 53,400 ที่นั่ง)
  • เจ้าของ : ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป ลิมิเต็ด
  • ประธาน : คัลดูน อัล มูบารัค
  • ผู้จัดการทีม : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี (อังกฤษ: Manchester City Football Club) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แมนฯ ซิตี้ ตั้งอยู่ ณ เมืองแมนเชสเตอร์ ปัจจุบันแข่งขันในพรีเมียร์ลีกซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ สโมสรก่อตั้งเมื่อปี 1880 ในชื่อ เซนต์มากส์ (เวสต์กอร์ตัน) ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น สโมสรฟุตบอลอาร์ดวิก ในปี 1887 และเปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 1894

สนามเหย้าของสโมสรคือสนามซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ หรือเป็นที่รูกจักในชื่อ เอติฮัด สเตเดี้ยม ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมือง โดยสโมสรได้ใช้งานสนามแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2003 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ใช้สนาม เมน โร้ด เป็นสนามเหย้าตั้งแต่ปี 1923

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้

แมนฯ ซิตี้เข้าร่วมฟุตบอลลีกในปี 1892 และคว้าถ้วยเอฟเอ คัพ เป็นรางวัลแรกของสโมสรในปี 1904 หลังชนะโบลตัน 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศเมื่อ 23 เมษายน 1904 โดยช่วงเวลาที่สโมสรเริ่มประสบความสำเร็จคือทศวรรษ 1960 ที่คว้าทั้งแชมป์ลีก, ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ, เอฟเอคัพ และ ลีกคัพภายใต้การคุมทีมของ โจ เมอร์เซอร์ และ มัลคอม  อัลลิซัน ก่อนเริ่มเข้าสู่ช่วงตกต่ำหลังจากแพ้ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ปี 1981 โดยเคยตกชั้นจนถึงลีกระดับที่สามมาแล้ว (ลีกวัน ในปัจจุบัน) 

ปี 1989 แมนฯ ซิตี้สามารถกลับสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งละมีผลงานที่พัฒนาขึ้นจนจบในอันดับ 5 สองฤดูกาลติดต่อกันในปี 1991 และ 1992 ภายใต้การคุมทีมของปีเตอร์ รีด แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับพวกเขาอีกครั้ง แม้ว่าซิตี้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสโมสรผู้ร่วมก่อตั้งพรีเมียร์ลีกซึ่งเป็นการแข่งขันลีกสูงสุดที่เปลี่ยนชื่อมาจากฟุตบอลดิวิชั่นหนึ่ง แต่พวกเขากลับมีผลงานที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ

ปี 1996 พวกเขากลายเป็นทีมท้ายตารางและตกชั้น และหลังจากเล่นในลีกสองอยู่สองฤดูกาล พวกเขาสร้างสถิติย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรด้วยการมีคะแนนในฤดูกาลน้อยที่สุด (38 แต้ม จาก 38 เกม) ตั้งแต่ลงแข่งขันฟุตบอลลีก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสองสโมสรของทวีปยุโรปที่เคยชนะการแข่งขันถ้วยยุโรป แต่ต้องตกชั้นลงไปเล่นในลีกระดับสามของประเทศ ต่อจากสโมสรมักเดเบิร์ก ของเยอรมนี

หลังจากตกชั้น เดวิด เบิร์นชไตน์ นักธุรกิจชาวอังกฤษเข้ามาบริหารสโมสรในฐานะเจ้าของทีมคนใหม่ ทำให้สโมสรมีฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น และภายใต้การคุมทีมของ โจ รอยล์ สโมสรเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่นสองได้อีกครั้งและทำผลงานยอดเยี่ยมจนเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

แต่ก็ต้องตกชั้นอีกครั้งในปี 2001 ซึ่งเป็นการตกชั้นครั้งสุดท้ายของสโมสรมาจนถึงปัจจุบัน หลัง เควิน คีแกนพาทีมเลื่อนชั้นกลับมาได้อีกครั้งในฐานะแชมป์ดิวิชันหนึ่ง (ลีกระดับสองในขณะนั้น) ในฤดูกาล 2001-02 รวมทั้งสร้างสถิติใหม่มากมายให้แก่สโมสรทั้งการทำคะแนนมากที่สุดในฟุตบอลลีก และการทำประตูมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล

ฤดูกาล 2002-03 ซิตี้ ใช้สนามเมน โร้ดเป็นฤดูกาลสุดท้ายหลังจากใช้สนามนี้เป็นสนามเหย้ามาตั้งแต่ปี 1923 โดยมีไฮไลท์สำคัญโคือเปิดสนามเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ยุติช่วงเวลา 13 ปีติดต่อกันที่ไม่ชนะเกมดาร์บี้ แมนเชสเตอร์ ลงได้พร้อมได้สิทธิ์เล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ซึ่งหลังจากจบซีซั่นพวกเขาย้ายสู่สนามแห่งใหม่ คือ สนามซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ เอติฮัด สเตเดี้ยม แต่ช่วง 4 ฤดูกาลแรกที่สนามแห่งใหม่ พวกเขาทำได้เพียงประคองตัวจบอันดับกลางตารางเท่านั้น แม้จะได้กุนซือชื่อดังอย่าง สเวน โกรัน -อีริคส์สัน มาคุมทีมในปี 2007 แต่ก็ทำผลงานได้ไม่ไดีก่อนจะถูกปลด และเป็น มาร์ก ฮิวจ์ส มารับงานแทนในปีต่อมา

ปี 2008 สโมสรกลับไปประสบปัญหาการเงินอีกครั้ง ก่อนจะได้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเข้าซื้อกิจการและดำรงตำแหน่งประธานสโมสร แต่เนื่องจากปัญหาคดีความทางการเมืองทำให้การบริหารสโมสรต้องหยุดชะงักและต้องขายต่อให้ กลุ่มทุนอาบูดาบี ด้วยมูลค่า 210 ล้านปอนด์ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นหนึ่งในทีมมหาเศรษฐีแห่งวงการฟุตบอลยุโรปมานับแต่นั้น 

แต่กว่าที่ซิตี้จะประสบความสำเร็จต้องรอจนถึงปี 2011 ภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่เมื่อคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 35 ปี นับตั้งแต่ได้แชมป์ลีกคัพในปี 1976 พร้อมกับจบอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีกได้สิทธิ์เล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1968

ฤดูกาล 2011-12 ถือเป็นซีซั่นแห่งไฮไลท์ของซิตี้ เมื่อพวกเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กับแแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดถึงนัดสุดท้ายโดยทั้งคู่มี 86 คะแนนเท่ากันแต่ผลต่างของประตูได้เสียของ"เรือใบสีฟ้า" ดีกว่า โดยซิตี้ พบ ควีนปาร์ค แรนเจอส์ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ขณะที่ยูไนเต็ดออกไปเยือนซันเดอร์แลนด์ ซึ่งยูไนเต็ดเอาชนะซันเดอร์แลนด์ไปได้ 1-0 และเกมจบไปก่อนแล้ว ขณะที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังควีนปาร์ค 1-2 กระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บเอดิน เซโก้ ยิงประตูตีเสมอ 2-2 ในนาทีที่ 92 และ เซร์คิโอ "กุน" อเกวโร่ ซัดประตูชัยในนาที 94 พาทีมพลิกกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างปาฏิหาริย์หลังจากรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดมานานกว่า 44 ปี

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้

แต่ในฤดูกาล 2012-13 ซิตี้ไม่ได้แชมป์อะไรเลย โดยทำได้เพียงรองแชมป์พรีเมียร์ลีก และตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นปีที่สองติดต่อกัน อีกทั้งแพ้ วีแกน แอธเลติก ทีมที่ตกชั้นในฤดูกาลนั้น 0-1 ในรอบชิง เอฟเอ คัพ กอปรกับ มันชินี่ มีปัญหากับผู้บริหาร จึงเป็นชนวนให้โดนปลดออกจากตำแหน่ง และแทนที่ด้วย มานูเอล เปเลกรินิ ซึ่งพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และ ลีก คัพ ได้ในฤดูกาล 2013-14 แต่ผลงานไม่เป็นที่ประทับใจในเวลาต่อมา เป็นเหตุให้เขาถูกปลดเมื่อจบฤดูกาล 2015-16แม้จะพาทีมคว้าแชมป์ลีพคัพได้อีกครั้งก็ตาม

ฤดูกาล 2016-17 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษเมื่อเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมชาวสเปนที่ประสบความสำเร็จมากมายกับบาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิก เข้ามารับตำแหน่งโดยเขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017-18 พร้อมทำสถิติเป็นทีมแชมป์ที่มีคะแนนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ 100 คะแนน รวมทั้งสร้างสถิติพรีเมียร์ลีกอีกมากมาย และยังคว้าแชมป์ ลีกคัพ หลังชนะอาร์เซน่อล 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศ

ฤดูกาล 2018-19 ถือเป็นฤดูกาลที่ทีมประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรเมื่อเป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมคว้ากวาดถ้วยแชมป์ของลีกอังกฤษทั้ง พรีเมียร์ลีก, ลีกคัพ และ เอฟเอคัพ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สโมสรสามารถป้องกันแชมป์ลีกได้ และยังเป็นทีมฟุตบอลชายทีมแรกของอังกฤษที่ชนะเลิศการแข่งขันภายในประเทศได้สามรายการในฤดูกาลเดียวกัน

ก่อนที่สโมสรจะได้รับโทษแบนห้ามลงแข่งขันในฟุตบอลยุโรปเป็นเวลาสองฤดูกาลจากการละเมิด ไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ยื่นคำร้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา และพ้นจากข้อกล่าวหารวมถึงการได้ลดจำนวนเงินค่าปรับจาก 30 ล้านยูโร เหลือ 10 ล้านยูโร

ฤดูกาล 2019-20 ซิตี้เสียแชมป์ลีกให้ ลิเวอร์พูล แต่พวกเขาป้องกันแชมป์ลีก คัพ ได้เป็นปีที่สามติดต่อกันหลังเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศ ถัดมาในเดือนเมษายน 2021 สโมสรประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมการแข่งขันซูเปอร์ลีก ร่วมกับสโมสรชั้นนำในยุโรป

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคานอำนาจกับยูฟ่าในการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทว่าแผนดังกล่าวได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากแฟนบอล, สปอนเซอร์, สโมสรชั้นนำบางสโมสร และรัฐบาลอังกฤษ รวมถึง บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร(ตอนนั้น) และผู้จัดการทีม เป๊บ กวาร์ดิโอล่า ส่งผลให้สโมสรต้องประกาศยกเลิกแผนดังกล่าวในอีก 48 ชั่วโมงต่อมาร่วมกับสโมสรชั้นนำของอังกฤษอีก 5 สโมสร

ฤดูกาล 2020-21 ซิตี้กลับมาครองแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ถือเป็นแชมป์ครั้งที่สามในรอบ 4 ฤดูกาล โดยมีคะแนนมากกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 12 คะแนนและคว้าแชมป์ได้ในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 3 นัด รวมทั้งยังคว้าแชมป์ลีกคัพ 4 สมัยติดต่อกันหลังเอาชนะ ชนะสเปอร์ส 1-0 ส่งผลให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร แต่น่าเสียดายที่พวกเขาแพ้ เชลซี 0-1 ในการเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้เป็นครั้งแรก

ฤดูกาล 2021-22 สโมสรทำการลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งด้วยการเซ็นสัญญากับ แจ็ก กรีลิช ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 100 ล้านปอนด์ และยังเป็นสถิติการซื้อตัวที่แพงที่สุดของสโมสรในอังกฤษ และแม้จะตกรอบฟุตบอลถ้วยทุกรายการ แต่สโมสรสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 8 และยังเป็นการคว้าแชมป์ได้ถึง 4 จาก 5 ฤดูกาลหลังสุด

เกียรติประวัติ

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่น1 / พรีเมียร์ลีก) (8 สมัย) : 1936-37, 1967-68, 2011-12, 2013-14, 2017-18, 2018-19, 2020-21, 2021-22

แชมป์ดิวิชั่น 2 / แชมเปี้ยนชิพ (ลีกระดับสอง) (7 สมัย) : 1898-99, 1902-03, 1909-10, 1927-28, 1946-47, 1965-66, 2001-02

แชมป์เอฟเอคัพ (6 สมัย) : 1903-04, 1933-34, 1955-56, 1968-69, 2010-11, 2018-19

แชมป์ลีกคัพ / อีเอฟแอลคัพ (8 สมัย) : 1969-70, 1975-76, 2013-14, 2015-16, 2017-18, 2018-19, 2019-20, 2020-21

แชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ (1 สมัย) : 1969-70

ชนะเลิศคอมมิวนิตี้ชีลด์ (6 สมัย) : 1937, 1968, 1972, 2012, 2018, 2019

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ที่มา https://sport.trueid.net/detail/o6vYapX8YZvg


     2 Asenal

ประวัติสโมสรฟุตบอลอาร์เซน่อล

  • ชื่อเต็ม : Arsenal Football Club
  • ฉายา : เดอะ กันเนอร์ส / ปืนใหญ่ (ในไทย)
  • ก่อตั้ง : ค.ศ. 1886 ในชื่อ ไดอัล สแควร์
  • สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม (ความจุ: 60,704 ที่นั่ง)
  • เจ้าของ : โครเอนเก้ สปอร์ต แอนด์ เอนเตอร์เทนเมนต์
  • ประธาน : เซอร์ ชิปส์ เคสวิก
  • ผู้จัดการทีม : มิเกล อาร์เตต้า

สโมสรฟุตบอลอาร์เซน่อล (อังกฤษ: Arsenal Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพซึ่งเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ตั้งอยู่ในเขตอิสลิงทันในกรุงลอนดอน เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับสามของอังกฤษ

โดยชนะเลิศลีกสูงสุด 13 สมัย, เอฟเอคัพ 14 สมัย (สถิติสูงสุด), ลีกคัพ 2 สมัย, เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 16 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย และ อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ 1 สมัย อาร์เซนอลยังเป็นสโมสรที่เล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษติดต่อกันยาวนานที่สุด (ปี1920-ปัจจุบัน)

ประวิติสโมสรฟุตบอล อาร์เซน่อล

อาร์เซน่อลก่อตั้งขึ้นในปี 1886 โดยคนงานในเขตวูลิช ในชื่อ สโมสรฟุตบอลไดอัล สแควร์ และในปี 1893 พวกเขาเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนใต้ที่ได้ร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีก ก่อนย้ายมายังลอนดอนเหนือในปี 1913  พร้อมทั้งย้ายสนามมายังอาร์เซน่อล สเตเดี้ยม ในย่านไฮบิวรี่ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น อาร์เซน่อล ในฤดูกาล 1914-15

ปี 1925 อาร์เซน่อลได้แต่งตั้งให้ เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีมหลังจากเขาเคยพาฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์คว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัย ในฤดูกาล 1923-24 และ 1924-25 ซึ่งแชปแมนถือเป็นคนแรกที่พาอาร์เซน่อลก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในยุคแรก เขาจัดการเปลี่ยนระบบการซ้อมและนำแทคติคใหม่มาใช้ และยังเป็นผู้ริเริ่มการปรับปรุงระบบไฟในสนามไฮบิวรี่ ทำให้อาร์เซน่อลกลายเป็นมหาอำนาจในวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 1930

โดยคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เป็นครั้งแรก เริ่มจากแชมป์เอฟเอคัพ สมัยแรก ในฤดูกาล 1929-30 และคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้ 2 สมัยในฤดูกาล 1930-31 และ 1932-33 นอกจากนี้ แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานี "อาร์เซนอล" ซึ่งถือเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวในสหราชอาณาจักรที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล

สโมสรฟุตบอล อาร์เซน่อล

แชปแมนเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมในช่วงต้นปี 1934 โดยเป็น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน เข้ามารับตำแหน่งต่อและพาทีมประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน พวกเขาพาอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้อีก 3 สมัย และเอฟเอ คัพ 1 สมัย อย่างไรก็ตาม อาร์เซน่อลก็เริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ ในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุกรายการในอังกฤษต้องยุติลงส่งผลให้สโมสรกลับไปประสบปัญหาการเงินอีกครั้ง

หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ทอม วิทเทคเกอร์ เข้ามาคุมทีมแทน อัลลิสันได้ พร้อมกับพาอาร์เซน่อลกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งโดยได้แชมป์ดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย ในฤดูกาล 1947 และ 1948 และแชมป์เอฟเอ คัพอีก 1 สมัย ในฤดูกาล 1949-50

แต่หลังจากนั้น สโมสรกลับไม่สามารถดึงดูดนักเตะชื่อดังเข้ามาร่วมทีมเหมือนที่เคยทำได้ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 อาร์เซน่อลกลายเป็นเพียงทีมกลางตารางและไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรเพิ่มได้เลย แม้แต่ บิลลี ไรท์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้เลยในช่วง ค.ศ. 1962-66

อาร์เซน่อลแต่งตั้ง เบอร์ตี มี นักกายภาพบำบัดคุมทีมในปี 1966 โดยพาทีมเข้าชิงชนะเลิศลีก คัพ 2 สมัยแต่ก็พลาดแชมป์ทั้งสองครั้ง แต่ยังคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ (ปัจจุบันยกเลิกการแข่งขันไปแล้ว) ได้ในฤดูกาล 1969-70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกของสโมสร ตามด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรกคือแชมป์ลีก และ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1970-71

แต่ในทศวรรษต่อมาอาร์เซน่อลทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์เป็นส่วนมาก โดยได้รองแชมป์ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1972-73 ,รองแชมป์เอฟเอ คัพในฤดูกาล 1971-72, 1977-78 และ 1979-80 และยังแพ้จุดโทษบาเลนเซียในยูฟ่าคัพ วินเนอร์ส คัพ รอบชิงชนะเลิศอีกด้วย ซึ่งสโมสรประสบความสำเร็จเพียงถ้วยเดียวในช่วงนี้คือแชมป์เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 1978-79 ในยุคของ เทอร์รี่ นีล ที่เอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน

สโมสรฟุตบอล อาร์เซน่อล

ปี 1986 จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะของสโมสรเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีพร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ได้หลายรายการในยุคที่มี โทนี่ อดัมส์ ตำนานกัปตันทีมเป็นผู้เล่นตัวหลัก เริ่มจากแชมป์ลีก คัพ ในฤดูกาล 1986-87 ตามด้วยแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง ในฤดูกาล 1988-89 และได้แชมป์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 1990-91 ด้วยผลงานแพ้เพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล

และยังคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์ด้วยการเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ พร้อมกับลีก คัพ ในฤดูกาล 1992-93 และคว้าแชมป์ยุโรปใบที่ 2 ได้ในยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ฤดูกาล 1993-94 ด้วยการชนะปาร์ม่า 1-0

อย่างไรก็ตาม แกรแฮม ตกเป็นข่าวฉาวได้รับเงินสินบนจาก รูน ฮาวก์ เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัวผู้เล่นส่งผลให้เขาถูกไล่ออกในปี 1995 และ บรูซ ริออช เข้ามารับตำแหน่งแทนแต่คุมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร

ฤดูกาล 1996-97 สร้างเซอร์ไพรส์ดึงตัว อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือชาวฝรั่งเศสมาจาก นาโกย่า แกรมปัส สโมสรในเจลีก ที่เคยสร้างผลงานเยี่ยมกับโมนาโกมาคุมทีมท่ามกลางความสังสัยของแฟนบอลว่าเขาคนนี้เป็นใคร ซึ่งเพียงฤดูกาลแรกในถิ่น ไฮบิวรี่ เขาทำให้สาวกกันเนอร์รู้จักเขามากขึ้น

เมื่อประเดิมการคุมทีมนัดแรกด้วยการบุกไปชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 2-0 และพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับสามในพรีเมียร์ลีกมีคะแนนเท่ากับรองจ่าฝูง นิวคาสเซิ่ล และห่างจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์ 7 คะแนน ส่วนบอลถ้วยในประเทศทั้งสองรายการตกรอบ 4 ด้วยการพ่ายให้กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล

เวนเกอร์ส เข้ามาเปลี่ยนวิธีการซ้อมใหม่ และยังเข้มงวดเรื่องโภชนาการกับนักเตะ รวมถึงมีนโยบายการสร้างทีมด้วยงบประมาณจำกัด  พร้อมพาอาร์เซน่อลจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งแชมป์และรองแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 8 จาก 10 ฤดูกาลแรกรวมทั้งคว้าดับเบิลแชมป์ (แชมป์ลีก และ แชมป์เอฟเอคัพ) ได้สองครั้ง ในฤดูกาล 1997-98 และ 2001-02

สโมสรฟุตบอล อาร์เซน่อล

นอกจากนี้ยังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ ฤดูกาล 1999-00 แต่แพ้จุดโทษ กาลาตาซาราย รวมทั้งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2003-04 โดยไม่แพ้ทีมใดเลยทั้งฤดูกาลจนได้รับฉายาว่า "ผู้ไร้เทียมทาน" (The Invincibles) และทำสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกัน 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมาซึ่งเป็นสถิติไร้พ่ายยาวนานที่สุดตลอดกาลของอังกฤษ และยังได้แชมป์เอฟเอ คัพเพิ่มในปี 2003 และ 2005 รวมทั้งชนะเลิศคอมมิวนิตีชีลด์หลายสมัย โดยทีมชุดนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ เช่น เธียร์รี่ อองรี, ปาทริค วิเอร่า, เดนนิส เบิร์กแคมป์, โรแบร์ ปิแรส และ แอชลีย์ โคล 

เวนเกอร์พาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกในปี 2006 โดยถือเป็นทีมแรกจากกรุงลอนดอนที่เข้าชิงชนะเลิศได้ แต่แพ้บาร์เซโลน่า 1-2 จากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2006 อาร์เซน่อลได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปี ที่ไฮบิวรี่ลง ด้วยการย้ายสนามเหย้ามาเป็นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม และยังเข้าชิงลีก คัพ ได้สองครั้งใน ปี 2007 และ 2011 แต่แพ้เชลซี และ เบอร์มิงแฮม 1-2 ตามลำดับ และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2011-12 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 20 ปีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก ได้มีการโหวตจากแฟนบอลปรากฏว่า อาร์เซนอล ในฤดูกาล 2002-03 ที่ไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลได้รับเลือกให้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 20 ปีของฟุตบอลอังกฤษ

อาร์เซน่อลยุคเวนเกอร์คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้อีกสองสมัยติตต่อกัน ในฤดูกาล 2013-14 (ชนะฮัลล์ซิตี 3-2) และ 2014-15 (ชนะแอสตัน วิลล่า 4-0) ก่อนจะทำสถิติได้แชมป์เอฟเอ คัพมากที่สุด 13 สมัยในฤดูกาล 2016-17 (ชนะเชลซี 2-1) โดยเวนเกอร์ถือเป็นผู้จัดการทีมที่ได้แชมป์เอฟเอ คัพ มากที่สุด 7 สมัย

แต่ฤดูกาล 2017-18 พวกเขาหลุดจากการจบ 4 อันดับแรกเป็นครั้งแรกด้วยการรั้งอันดับ 6 ในลีก ส่วนเอฟเอ คัพ ต้องกระเด็นตกรอบตั้งแต่รอบแรก ด้วยการพ่ายให้กับทีมระดับดิวิชั่นต่ำกว่าอย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ สุดท้าย เวนเกอร์ ตัดสินใจอำลาสโมสรในเดือนพฤษภาคม 2018 โดยเขาถือเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของสโมสรคว้าแชมป์ 17 รายการ และคุมทีมยาวนานที่สุด 22 ปี 

อูไน เอเมรี่ กุนซือชาวสเปนเข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2018-19 และถือเป็นผู้จัดการทีมคนที่สองในประวัติศาสตร์สโมสรที่ไม่ได้มาจากสหราชอาณาจักร โดยพาทีมจบอันดับ 5 และได้รองแชมป์ยูโรปา ลีก หลังจากแพ้เชลซี 1-4 ก่อนโดนปลดในฤดูกาล 2019-20

สโมสรฟุตบอล อาร์เซน่อล

หลังจากพาทีมเก็บชัยชนะได้เพียง 4 จากเกมลีก 13 นัดที่ผ่านมาและไม่ชนะ 7 นัดติดต่อกันหลังแพ้ แฟร้งก์เฟิร์ต 1-2 ในถ้วยยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่มเมื่อ 28 พ.ย. 2019 โดยให้ เฟรดริก ลุงเบิร์ก อดีตนักเตะระดับตำนานของทีมเข้ามารักษาการแทน จากนั้น มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาคุมที และพาทีมจบอันดับ 8 ซึ่งเป็นอันดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1995 แต่ยังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้ด้วยการเอาชนะเชลซี 2-1

ฤดูกาล 2020-21 อาร์เตต้า ที่ได้คุมทีมแบบเต็มซีซั่นยังพาทีมทำผลงานในลีกย่ำแย่ต่อเนื่องจบอันดับ 8 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน ไม่ได้ไปแข่งขันฟุตบอลยุโรปในฤดูกาล 2021-22 และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีที่สโมสรไม่ได้ไปเล่นรายการยุโรป ก่อนจะจบอันดับ 5 ในฤดูกาลต่อมา ทำได้เพียงไปเล่นยูโรปาลีก และตกรอบฟุตบอลถ้วยทุกรายการ

ฤดูกาล 2022-23 อาร์เตต้า ที่ยังคงได้โอกาสคุมทีมต่อเนื่องพาทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมชนะ 12 จาก 14 เกมแรกในลีกแพ้เพียงนัดเดียวรั้งจ่าฝูงนำแมนฯ ซิตี้ 5 แต้มก่อนโดนฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายมาเบรกซึ่งต้องติดตามว่ากุนซือชาวสแปนิช วัย 40 ปี จะพาทีม "ปืนใหญ่" ไปถึงแชมป์ได้หรือไม่

เกียรติประวัติ

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชันหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก) ( 13 สมัย ) : 1930-31, 1932-33, 1933-34, 1934-35, 1937-38, 1947-48, 1952-53, 1970-71, 1988-89, 1990-91, 1997-98, 2001-02, 2003-04

แชมป์เอฟเอ คัพ ( 14 สมัย ) : 1929-30, 1935-36, 1949-50, 1970-71, 1978-79, 1992-93, 1997-98, 2001-02, 2002-03, 2004-05, 2013-14, 2014-15, 2016-17, 2019-20

แชมป์ลีก คัพ ( 2 สมัย ) : 1986-87, 1992-93

แชมป์ยูฟ่าคัพ วินเนอร์ส คัพ ( 1 สมัย ) : 1993-94

แชมป์อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ ( 1 สมัย ) : 1969-70

ชนะเลิศคอมมิวนิตีชิลด์ ( 16 สมัย ) : 1930, 1931, 1933, 1934, 1938, 1948, 1953, 1991 (แชมป์ร่วม), 1998, 1999, 2002, 2004, 2014, 2015, 2017, 2020

แชมป์เอมิเรตส์คัพ ( 5 สมัย ) : 2007, 2009, 2010, 2015, 2017

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ที่มา https://sport.trueid.net/detail/o6vYapX8YZvg



     3 Manchester United F.C

ประวัติสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

  • ชื่อเต็ม : Manchester United Football Club
  • ฉายา : ปีศาจแดง
  • ก่อตั้ง : ค.ศ. 1878 (ในชื่อ นิวตัน ฮีธ)
  • สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด (ความจุ: 76,765 ที่นั่ง)
  • เจ้าของ : มัลคอล์ม เกลเซอร์
  • ประธาน : โจเอล เกลเซอร์, อัฟราม เกลเซอร์
  • ผู้จัดการทีม : เอริค เทน ฮาก

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1878 โดยใช้ชื่อ นิวตัน ฮีต แอลวายอาร์ : Newton Heath LYR (Lancashire and Yorkshire Railway) เกิดจากพนักงานการรถไฟกลุ่มหนึ่งได้ก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมาเพื่อลงเล่นกับแผนกและบริษัทรถไฟอื่น ๆ โดยพวกเขาพยายามเข้าร่วมฟุตบอลลีกถึงสองครั้งแต่ก็ล้มเหลว เพราะไม่มีสโมสรใดให้การสนับสนุน แต่ในที่สุดพวกเขาได้รับการยอมรับเมื่อฟุตบอลลีกมีการแบ่งออกเป็นสองดิวิชั่นในเวลาต่อมาไม่นาน

ในตอนที่ ฟุตบอล ลีก ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1888 นั้น นิวตัน ฮีธ คิดว่าพวกเขายังไม่ดีพอที่จะร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งลีกร่วมกับทีมอย่าง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ พวกเขาเลือกที่จะรอเข้าร่วมลีกในปี 1892 โดยตอนนั้น นิวตัน ฮีธ ได้สิทธิ์เล่นในระดับ ดิวิชั่น 1 ซึ่งเป็นลีกระดับสูงสุดของประเทศ แต่พวกเขาก็ตกชั้นสู่ ดิวิชั่น 2 อย่างรวดเร็วหลังจากเล่นในลีกสูงสุดได้เพียง 2 ซีซั่น

สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปี 1902 นิวตัน ฮีธ ประสบปัญหาการเงินอย่างหนักจนถึงขั้นจะล้มละลาย โชคดีที่ได้ จอห์น เดวี่ส์ นักธุรกิจท้องถิ่นมาลงทุนกับสโมสร ซึ่งต่อมากลายเป็นประธานสโมสร รวมทั้งเปลี่ยนชื่อทีมมาเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1902

ปี 1903 เออร์เนสต์ แม็กนัลล์ ถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของทีม และพาเลื่อนชั้นจากดิวิชั่น 2 ได้สำเร็จจากสไตล์การเล่นที่รวดเร็ว และ สวยงาม กระทั่งฤดูกาล 1907-08 "ปีศาจแดง" สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้เป็นครั้งแรกใน ประวัติศาสตร์สโมสร จากนั้นปีถัดมาพวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองหลังเอาชนะบริสตอล ซิตี้ 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ

หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาลงเล่นอีกครั้งในวันที่ 30 สิงหาคม 1919 แต่ต้องประสบปัญหาใช้งานสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่ได้รวมถึงนักเตะบางคนอายุมากขึ้นหลังไม่ได้ลงเล่นอีกเลยตั้งแต่สิ้นสุดฤดูกาล 1914/15 ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการเซ็นสัญญาขอใช้สนาม เมน โร้ด สนามเหย้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมร่วมเมืองเป็นสนามเหย้า 

ฤดูกาล 1921-22 แมนฯ ยูไนเต็ดต้องตกชั้นอีกครั้งหลังชนะเพียง 8 เกมจากทั้งหมด 42 นัด และต้องใช้ความพยายามอยู่ 3 ฤดูกาลกว่าที่จะขึ้นชั้นมาจาก ดิวิชั่น 2 อีกครั้งในฤดูกาล 1924-25 หลังจบด้วยอันดับ 2 ในลีกจากการแพ้แค่ 8 นัด 

ส่วนแชมป์ในตอนนั้นคือ เลสเตอร์ ซิตี้ จากน้นพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี 1931 ทำให้สโมสรจึงกลายเป็นโยโย่คลับเลื่อนชั้นสลับตกชั้นอยู่ตลอดและมีผลงานย่ำแย่จบอันดับ 20 ดิวิชั่น 2 ฤดูกาล1933-34 ซึ่งนับเป็นอันดับต่ำที่สุดตลอดกาลของสโมสรและตกชั้นสู่ดิวิชั่น 3 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ฤดูกาล 1937-38 แมนฯ ยูไนเต็ดได้กลับมาเล่นลีกสูงสุด (ดิวิชั่น 1 ในตอนนั้น) อีกครั้งในฐานะรองแชมป์ดิวิชั่น 2 และจบด้วยอันดับ 14 ในฤดูกาล 1938-39 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มีการแข่งขันฟุตบอลก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง

ในเดือนตุลาคม 1945 ฟุตบอลกลับมาแข่งขันอีกครั้ง โดยแมนฯ ยูไนเต็ดแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ แมตต์ บัสบี้ ซึ่งต่อมาชายผู้นี้ได้สร้าง ยูไนเต็ด ให้กลับมาผงาดอีกครั้งเมื่อพาทีมคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปีในฤดูกาล 

1951-52 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุค "บัสบี้ เบ๊บส์" อันยิ่งใหญ่ คว้าแชมป์ลีกได้สองสมัยติดต่อกัน ในฤดูกาล 1955-56 และ 1956-57 ด้วยผู้เล่นอายุเฉลี่ยเพียง 22 ปี และกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่เข้าร่วมแข่งขันยูโรเปี้ยนคัพ ในปี 1957 พาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศก่อนที่จะตกรอบจากการแพ้เรอัล มาดริด

ในฤดูกาลถัดมา ระหว่างเดินทางกลับจากการแข่งขัน ยูโรเปี้ยน คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศที่เอาชนะเรดสตาร์ เบลเกรด เครื่องบินที่มีผู้เล่นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ และนักข่าว เกิดอุบัติเหตุในตอนที่บินขึ้นหลังเติมเชื้อเพลิงที่มิวนิก ประเทศเยอรมนีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958

สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 23 คนโดยเป็นผู้เล่นของทีม 8 รายเสียชีวิตทันทีประกอบด้วย เจฟฟ์ เบนต์, โรเจอร์ ไบร์น, เอ็ดดี้ โคลแมน, ดันแคน เอ็ดเวิดส์, มาร์ก โจนส์, เดวิด เพ็กก์, ทอมมี่ เทย์เลอร์ และ บิลลี่ วีลัน รวมทั้งมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจที่สุดในวงการกีฬาทั่วโลกในขณะนั้น

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว แม็ตต์ บัสบี้ ตัดสินใจสร้างทีมขึ้นมาใหม่เพื่อสานฝันที่จะคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ให้ได้ โดยแกนนำยังเป็นนักเตะที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์เครื่องบินตก รวมกับผู้เล่นจากทีมสำรอง, ทีมเยาวชน และนักเตะ ที่ซื้อเข้ามาใหม่ จนทีมเริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ และเมื่อฝันร้ายได้ผ่านไปพวกเขาก็กลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในถ้วย เอฟเอ คัพ ปี 1963

ซึ่งในฤดูกาลนั้นเองนักเตะอย่าง จอร์จ เบสต์ , เดนนิส ลอว์ และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน แจ้งเกิดขึ้นมาได้สำเร็จ และดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ 2 สมัยในรอบ 3 ปี (1964-65, 1966-67) นอกจากนั้นในที่สุดความฝันของ แม็ตต์ บัสบี้ ก็เป็นจริง เมื่อเขาพาทีมเอาชนะ เบนฟิก้า ทีมชื่อดังของโปรตุเกส ที่มี ยูเซบิโอ นักเตะชื่อก้องโลกร่วมทีม ด้วยสกอร์ 4-1  ที่สนาม เวมบลีย์ คว้าแชมป์ถ้วยสโมสรใบใหญ่สุดอย่าง ยูโรเปี้ยน คัพ (สมัยนั้น) ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรในซีซั่น 1967-68

หลังจากพาทีมครองเจ้ายุโรป บัสบี้ ตัดสินใจวางมือในเวลาต่อมาซึ่งนั่นดูเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนของแมนฯ ยูไนเต็ดอีกครั้งเมื่อช่วงทศวรรษที่ 1970 วิลฟ์ แม็คกินเนสส์, แฟร้งค์ โอ ฟาร์เรลล์ และ ทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้ ที่เข้ามารับงานต่อจาก บัสบี้  ต่างทำผลงานได้ย่ำแย่จนทีมต้องตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในเวลาไม่นาน

ช่วงทศวรรษ 80 หลังจากที่กลับมาขึ้นมาในลีกสูงสุดอีกครั้ง พวกเขายังสร้างผลงานได้ไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ทำให้บอร์ดบริหารตัดสินใจดึง รอน แอ๊ตกินสัน เข้ามาคุมทีมแทนที่ของ เดฟ เซ็กซ์ตัน ในปี 1981พร้อมกับนำนักเตะใหม่หลายคนเข้ามาสู่ทีม

โดยเฉพาะ ไบรอัน ร็อบสัน กองกลางชาวอังกฤษที่ยอมจ่ายค่าตัวเป็นเงินกว่า 1.5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติการย้ายทีมของเกาะอังกฤษในเวลานั้น แม้ "บิ๊กรอน" พาทีมคว้า แชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัยในช่วงสามปี คือใน ค.ศ. 1983 และ 1985 แต่การเปลี่ยนแปลงในรั้ว โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกิดขึ้นอีกครั้งในฤดูกาล 198-86 เมื่อทีมตัดสินใจปลด แอ๊ตกินสัน ออกจากตำแหน่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน

อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ อเบอร์ดีน สโมสรในลีกสกอตแลนด์ เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันเดียวกันกับที่แอตกินสันถูกปลดออก แต่งานของ "เฟอร์กี้" ดูเหมือนต้องพบกับความยากลำบาก เมื่อตอนนั้น ลิเวอร์พูล อริตัวฉกาจกำลังครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษอยู่ โดยมี อาร์เซน่อล และ เอฟเวอร์ตัน เป็นอีกสองทีมที่ไล่บี้กันได้อย่างสูสี

สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เฟอร์กูสัน เริ่มงานได้อย่างยอดเยี่ยมพา ยูไนเต็ด จบซีซั่นด้วยอันดับสองของลีกในปี 1988 เป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล ทีมเดียวเท่านั้น แต่หลังจากนั้นกลับมีผลงานที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะเกมพ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-5 ในเดือนพฤศจิกายน 1989 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดกระแสเรียกร้องให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง

โดยปีนั้น "ปีศาจแดง" จบด้วยอันดับ 11 ของตาราง แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปหลังได้มาร์ค โรบินส์ ซัดประตูพาทีมเอาชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-0 ในการแข่งขันเอฟเอ คัพ 1989-90 รอบ 3 ซึ่งเป็นการเซฟเก้าอี้ให้กับ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเนื่องจากมีข่าวว่าถ้าแพ้เกมนั้นเขาจะโดนปลดในทันทีและสุดท้ายเขาพาทีมคว้าแชมป์คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพในบั้นปลาย ซึ่งแชมป์แรกของพวกเขาภายใต้การนำทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

จากนั้นในปี 1991 ถ้วยใบที่สองก็ตามมาติดๆ เมื่อ ยูไนเต็ด เอาชนะ บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่จาก สเปน คว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่ร็อตเตอร์ดัม ได้สำเร็จ แต่กับเป้าหมายคว้าแชมป์ลีกยังคงผิดหวังต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 1992 ถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด แซงแย่งแชมป์ไปแบบพลิกความคาดหมาย แต่ก็มีถ้วย ลีก คัพ เป็นรางวัลปลอบใจ

พฤศจิกายน 1992 การเข้ามาของ เอริก คันโตน่า ดาวเตะฝรั่งเศสจากลีดส์ เปรียบเสมือนเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของ เฟอร์กี้ ในการไล่ล่าแชมป์ โดย "ปีศาจแดง" สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพในปี 1993 มาครองได้สำเร็จยุติการรอคอยมานานถึง 26 ปี ลงได้ และเหมือนเข้าสู่ยุครุ่งเรื่องของพวกเขาเมื่อประกาศศักดาคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในปี 1994 ซึ่งเกือบเป็นทริปเบิ้ลแชมป์หากไม่แพ้ในนัดชิงชนะเลิศถ้วย ลีก คัพ โดยนับเป็นดับเบิลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร และกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้สองครั้งหลังจากในฤดูกาล 1995-96 (พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ)

ฤดูกาล 1998-99 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกที่คว้าทริปเปิลแชมป์ได้ในฤดูกาลเดียวกัน (พรีเมียร์ลีก,เอฟเอคัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก) ต่อด้วยคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ หลังจากที่เอาชนะ พัลเมรัส สโมสรจากบราซิล 1-0 ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นทำให้ เฟอร์กูสัน ได้รับยศอัศวินจากการสร้างคุณประโยชน์ต่อฟุตบอล

ยูไนเต็ดยังสานต่อความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สองปีติดในฤดูกาล 1999-2000 และ 2000-01 ก่อนว่างเว้นไป 1 ปีแล้วกลับมาคว้าแชมป์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2002-03 จากนั้นคว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 11 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด ในฤดูกาล 2003-04

ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐฯ เจ้าของทีม แทมป้า เบย์ บัคคาเนียร์ส ในศึกอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล เริ่มเข้ามาซื้อกิจการของสโมสรต่อจาก มาร์ติน เอ็ดเวิร์ด เจ้าของทีมคนเก่า และรวบรวมหุ้นมาสู่กำมือของตระกูลแต่เพียงผู้เดียวในปี 2005 ซึ่งการเข้ามาคุมสโมสรของตระกูล เกลเซอร์ ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะสร้างความ โกรธแค้นให้กับแฟนบอลบางส่วนมากทีเดียวขนาดที่ว่า แยกออกไปตั้งสโมสรอีกหนึ่งทีมหนึ่งเลยทีเดียวโดยใช้เชื่อว่า ยูไนเต็ด ออฟ แมนเชสเตอร์ (F.C. United of Manchester)

แม้จะมีการเปลี่ยนมือเจ้าของทีมแต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดความยิ่งใหญ่ของทีมยุค "เฟอร์กี้" ได้ เมื่อพวกเขากลับมาคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 2006-07 จากนั้นคว้าดับเบิ้ลแชมป์ฤดูกาล 2007-08 ทั้งพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นแชมป์สมัยที่ 17 พร้อมกับครองเจ้ายุโรป คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการดวลจุดโทษเอาชนะเชลซี  6-5 ใน นัดชิงชนะเลิศ ที่มอสโก โดย ไรอัน กิกส์ ทำสถิติลงเล่นเป็นนัดที่ 759 ให้กับสโมสรทำลายสถิติลงเล่นมากที่สุดให้กับสโมสรที่บ็อบบี ชาร์ลตัน เคยทำไว้ ต่อด้วยพาทีมคว้าแชมป์ลีกสามสมัยติดต่อกันในฤดูกาล 2008-09

ซัมเมอร์ปี 2009 สโมสรตัดสินใจขาย คริสเตียโน โรนัลโด้ ให้กับเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ (ตอนนั้น) ซึ่ง "ปีศาจแดง" ว่างเว้นแชมป์ลีกหนึ่งปีเมื่อจบอันดับที่สองรองจากเชลซีในฤดูกาล 2009-10ก่อนกลับมาคว้าแชมป์ลีกสมัย 19 ในฤดูกาล 2010-11 

สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

หลังจากอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมคว้าแชมป์ลีกอังกฤษมากที่สุด 20 สมัยในฤดูกาล 2012-13 เขาประกาศอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีม โดยยูไนเต็ดได้ประกาศตั้ง  เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์คุมทีมตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2013 ด้วยสัญญายาว 6 ปีแต่อดีตกุนซือเอฟเวอร์ตันกลับอยู่ได้เพียง 10 เดือนก็โดนปลดออกจากตำแหน่งพร้อมให้ ไรอัน กิ๊กส์ รับหน้าที่เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมชั่วคราว

ซึ่งซีซั่นนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นความล้มเหลวของทีมเมื่อจบเพียงแค่อันดับ 7 นอกจากป้องกันแชมป์ลีกไม่ได้แล้วยังไม่สามารถทำอันดับไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1995-96 รวมทั้งไม่ดีพอได้เล่นยูโรปาลีก ถือเป็นครั้งแรกที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรป นับตั้งแต่ปี 1990

19 พฤษภาคม 2014 แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศแต่งตั้ง หลุยส์ ฟาน กัล ยอดกุนซือชาวฮอลแลนด์เข้ามาคุมทีมด้วยสัญญา 3 ปี โดยมี ไรอัน กิกส์ เป็นผู้ช่วย แม้ว่าจะพาทีมออกสตาร์ซีซั่นด้วยผลงานที่ย่ำแย่ มีเพียง 5 คะแนน จาก 5 นัด รวมทั้งแพ้ เอ็มเคดอนส์ ทีมจากลีกวัน 0-4 ตกรอบ 2 ลีกคัพแต่สุดท้ายยังพาทีมเร่งเครื่องในลีกจบจบอันดับ 4 ได้สิทธิ์กลับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง

ฤดูกาล 2015-16 ซึ่งเป็นปีที่สองของฟาน กัล เขายังทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่เมื่อพาทีมตกรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ ลีก รวมทั้งพาทีมจบอันดับ 5 ในลีก แม้จะได้แชมป์เอฟเอ คัพ มาครอง ซึ่งเป็นโทรฟี่แรกนับตั้งแต่เฟอร์กี้วางมือเมื่อปี 2013 แต่ไม่เพียงพอรักษาเก้าอี้ไว้ได้โดนปลดในช่วงซัมเมอร์นั้นพร้อมกับตั้งโชเซ่ มูรินโญ่ ยอดกุนซือชาวโปรตุกีสที่การันตีความสำเร็จทุกที่ที่ไปคุมทีมมาสานงานต่อ

ผลงานซีซั่นแรกของมูรินโญ่พาทีมจบเพียงอันดับ 6 ในลีก แต่คว้าแชมป์ลีกคัพ (สมัยที่5ของสโมสร) และ ยูโรปา ลีก เป็นสมัยแรกพร้อมกับได้สิทธิ์กลับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกอีกครั้ง โดยที่เวย์น รูนี่ย์ ทำประตูที่ 250 ให้กับยูไนเต็ด แซงหน้าเซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน รั้งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรก่อนที่เจ้าตัวประกาศอำลาทีมย้ายกลับไปเล่นให้กับ เอฟเวอร์ตัน

ฤดูกาล 2017-18 ยูไนเต็ดจบอันดับที่สองในลีก นับเป็นอันดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 แต่มีคะแนนตามหลังคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้าแชมป์ถึง 19 แต้ม รวมทั้งได้เพียงรองแชมป์เอฟเอ คัพ หลังแพ้เชลซี 0-1

18 ธันวาคม 2018 จากสถานการณ์ย่ำแย่รั้งอันดับ 6 ของตารางตามหลังจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล ถึง 19 แต้ม และตามหลังพื้นที่แชมเปียนส์ลีก 11 แต้ม แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศปลดมูรินโญ่ ออกจากตำแหน่งหลังจากที่เขาคุมทีมได้ 144 นัด พร้อมกับประกาศตั้งโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตำนานกองหน้าของทีมชาวนอร์วีเจี้ยน คุมทีมชั่วคราวจนจบซีซั่น

หลังจากทำผลงานยอดเยี่ยมชนะ 14 จาก 19 นัดทีคุมทีม รวมทั้งพลิกเอาชนะปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง 3-1 ถึงปาร์กเดแพร็งส์ ทั้งที่ปราชัยคาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาก่อน 0-2 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายแชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างเหลือเชื่อทำให้บอร์ดแมนฯ ยูไนเต็ดจับโซลชาตเซ็นสัญญาถาวร 3 ปี

แต่หลังจากได้คุมทีมเต็มตัวกุนซือนอร์วีเจี้ยนกลับทำผลงานได้ไม่ดีเหมือนเเดิมแต่ก็มีผลงานที่น่าประทับใจอย่างถล่มชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 9-0 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2021 ซึ่งเป็นสถิติร่วมในการชนะด้วยผลประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก รวมทั้งจบฤดูกาล 2020-21 ด้วยอันดับ 2 พร้อมสถิติไร้พ่ายเกมเยือนพรีเมียร์ลีกตลอดซีซั่น (ชนะ 12 เสมอ7) เป็นทีมที่ 4 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกสูงสุดอังกฤษแต่ก็ตามหลังแชมป์อย่างแมนฯ ซิตี้ถึง 12 แต้มและปิดท้ายซีซั่นด้วยตำแหน่งรองแชมป์ยูโรปา ลีก ทำให้ไม่มีถ้วยรางวัลเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ฤดูกาล 2021-22 แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศต่อสัญญาโซลชาออกไปอีก 3 ปีจนถึงปี 2024 รวมทั้งมีออปชั่นต่อเพิ่มอีกปี แม้โซลชาจะพาทีมสร้างสถิติไร้พ่ายเกมเยือนพรีเมียร์ลีก 29 นัดติดต่อกันหลังบุกชนะเวสต์แฮม 2-1 แต่ก็สิ้นสุดแค่นั้นหลังบุกพ่ายเลสเตอร์ 2-4 ในเกมเยือนนัดต่อมา

จากนั้น 24 ตุลาคม แพ้ ลิเวอร์พูล คาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 0-5 ซึ่งเป็นสถิติแพ้ "หงส์แดง" ขาดลอยที่สุดรอบ 96 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 1925 ต่อด้วยแพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-2 ก่อนที่ฟางเส้นสุดท้ายจะขาดสะบั้นเมื่อแพ้ วัตฟอร์ด 1-4 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ทำให้บอร์ดบริหารตัดสินใจปลดโซลชาพ้นตำแหน่งในวันถัดมาโดยให้ไมเคิล คาร์ริค คุมทีมชั่วคราวได้ 3 เกมก็ประกาศแต่งตั้ง ราล์ฟ รังนิค กุนซือชาวเยอรมันคุมทีมจนจบซีซั่นพร้อมมีออปชั่นเป็นที่ปรึกษาของสโมสรเมื่อจบซีซั่น

สุดท้าย รังนิค พาทีมจบอันดับ 6 ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกพร้อมกับอำลาทีมไปคุมทีมชาติออสเตรีย โดย แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศแต่งตั้ง เอริค เทน ฮาก กุนซือชาวฮอลแลนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมกับอาแจ๊กซ์มาคุมทีมด้วยสัญญา 3 ปี ถึงปี 2025 พร้อมออปชั่นขยายสัญญา 1 ปี

เกียรติประวัติ

แชมป์พรีเมียร์ลีก (รวมดิวิชั่น 1 เดิม) 20 สมัย :  1907-08, 1910-11, 1951-52, 1955-56, 1956-57, 1964-65, 1966-67, 1992-93, 1993-94, 1995-96, 1996-97, 1998-99, 1999-2000, 2000-01, 2002-03, 2006-07, 2007-08, 2008-09, 2010-11, 2012-13

แชมป์เอฟเอ คัพ 12 สมัย : 1908-09, 1947-48, 1962-63, 1976-77, 1982-83, 1984-85, 1989-90, 1993-94, 1995-96, 1998-99, 2003-04, 2015-16

แชมป์ลีกคัพ 5 สมัย : 1991-92, 2005-06, 2008-09, 2009-10, 2016-17

แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ / ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย : 1967-68, 1998-99, 2007-08

แชมป์คัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย : 1990-91

แชมป์ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 1 สมัย : 2016-17

แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 1 สมัย : 1991

แชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย : 1999

แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย : 2008

ชนะเลิศคอมมิวนิตีชีลด์ 21 สมัย : 1908, 1911, 1952, 1956, 1957, 1965*, 1967*, 1977*, 1983, 1990*, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010, 2011, 2013, 2016 (*แชมป์ร่วม)

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ที่มา https://sport.trueid.net/detail/o6vYapX8YZvg


     4 chelsea

ประวัติสโมสรฟุตบอลเชลซี

  • ชื่อเต็ม : Chelsea Football Club
  • ฉายา : เดอะ บลูส์ / สิงห์บลูส์ , สิงโตน้ำเงินคราม (ในไทย)
  • ก่อตั้ง : ค.ศ. 1905
  • สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์ (ความจุ: 40,341 ที่นั่ง)
  • เจ้าของ : บลูโค 22 ลิมิเต็ด (BlueCo 22 Limited)
  • ประธาน :  ท็อดด์ โบห์ลี่
  • ผู้จัดการทีม : แกรม พ็อตเตอร์

สโมสรฟุตบอลเชลซี  เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่ตั้งอยู่ในเขตฟูแล่ม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1905 หลังจาก กุส เมียร์ส ซื้อสนามกรีฑาสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนเป็นสนามฟุตบอล และยื่นข้อเสนอให้ฟูแล่มที่อยู่ใกล้เคียงกันเช่าสนาม แต่ถูกปฏิเสธ ดังนั้นเมียร์สจึงเลือกที่จะก่อตั้งสโมสรเองเพื่อใช้สนามนี้ เนื่องจากมีทีมชื่อฟูแล่มอยู่ในเมืองแล้ว จึงใช้ชื่อสโมสรว่า เชลซี ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดกัน โดยผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสรคือ จอห์น รอเบิร์ตสัน ซึ่งคุมทีมในฐานะ ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม

เชลซีเลื่อนชั้นไปเล่นในลีกสูงสุด (ดิวิชั่น 1) ได้ในฤดูกาลที่สอง แต่ทีมยังมีผลงานไม่คงเส้นคงวาสลับเลื่อนชั้น-ตกชั้นบ่อยครั้งในช่วงปีแรก ๆ พวกเขาผ่านเข้าถึงเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1915 ในยุคของ เดวิด คัลเดอร์เฮด อดีตนักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์ แต่แพ้เชฟฟีลด์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และจบอันดับสามในดิวิชั่น 1 ปี1920 ซึ่งเป็นการจบอันดับในลีกที่ดีที่สุดของสโมสรในขณะนั้น

ประวัติสโมสรฟุตบอลเชลซี

เชลซีเล่นอยู่ในลีกสูงสุดตลอดช่วงทศวรรษที่ 1930 ด้วยการคุมทีมของ เลสลี ไนท์ตันแต่ผลงานไม่น่าประทับใจนักมักจะจบด้วยอันดับกลางตารางและท้ายตารางเป็นส่วนมาก จากนั้น บิลลี แบร์เรลล์ เข้ามาคุมทีมตั้งแต่ ค.ศ. 1939-52 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันรายการสำคัญ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองฟุตบอลอังกฤษได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งเชลซีประสบปัญหาภายในหลายอย่าง พวกเขาทำได้เพียงประคองอันดับอยู่กลางตาราง โดยความสำเร็จในทศวรรษ 1940 ของเชลซีมีเพียงการชนะเลิศฟุตบอลถ้วยการกุศล (War Cup) 2 สมัยเท่านั้น

เท็ด เดร็ก อดีตกองหน้าอาร์เซน่อลและทีมชาติอังกฤษ เข้ามาคุมทีมในปี 1952 และปรับสโมสรให้ทันสมัยมากขึ้นด้วยการโละกลุ่มทหารและข้าราชการวัยเกษียณออกจากการเป็นทีมงาน และได้ปรับทีมเยาวชนและการซ้อมให้เข้มข้นมากขึ้น รวมทั้งซื้อนักเตะสตาร์ดังเข้ามาร่วมทีมมากมายแต่กว่าจะประสบความสำเร็จต้องรอจนถึงฤดูกาล 1954-55 พวกเขาคว้าลีกสูงสุดได้เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสร และควรจะเป็นทีมแรกจากอังกฤษที่ได้แข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรยุโรป แต่ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษห้ามไว้เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศ ก่อนที่ เดร็ก ถูกปลดจากตำแหน่งในปี 1961 และแทนที่ด้วย ทอมมี่ โดเชอร์ตี้ ที่เข้ามาในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีม

โดเชอร์ตี้ ได้ทำการปรับปรุงระบบทีมใหม่ ปล่อยนักเตะเก่าหลายคน และซื้อนักเตะใหม่มากมาย หนึ่งในนั้นคือ ปีเตอร์ ออสกู๊ด ตำนานสโมสร และพวกเขาคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในฤดูกาล 1964-65 หลังเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มี กอร์ดอนแบงส์ ผู้รักษาประตูตำนานทีมชาติอังกฤษเฝ้าเสาด้วยผลประตูรวมสองนัด 3-2 ต่อมา เดฟ เซ็กตัน เข้ามาคุมทีมแทน โดเชอร์ตี ก่อนที่จะคว้าแชมป์เอฟเอคัพ 1970 ด้วยการชนะลีดส์ ยูไนเต็ด 2-1 ในนัดแข่งใหม่หลังจากเสมอในนัดแรก 2-2 และปีต่อมาพวกเขาคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นครั้งแรกในรายการยูฟ่าคัพ วินเนอร์ส คัพ ด้วยการชนะเรอัล มาดริด 2-1 ในนัดแข่งใหม่หลังจากเสมอในนัดแรก 1-1

เชลซีถึงยุคตกต่ำในช่วงทศวรรษ 1970 เมื่อพวกเขาขายผู้เล่นคนสำคัญหลายรายรวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมหลายคน ทั้ง เอ็ดดี แม็คเครดี้, เคน เชลลิโต้, แดนนี่ บลังค์ฟลาวเวอร์ส และ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ แต่ก็ทำผลงานได้ไม่ดี และมักจะอยู่ท้ายตาราง และย่ำแย่ต่อเนื่องจนถึงขั้นตกชั้นในปลายทศวรรษ 1970 

ประวัติสโมสรฟุตบอลเชลซี

ปี1982 เคน เบตส์ ได้เข้ามาซื้อสโมสรด้วยราคาหนึ่งล้านปอนด์ พร้อมกับปรับปรุงสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ซ้ำร้ายเกือบจะตกชั้นไปดิวิชั่นสาม ในปีเดียวกัน กระทั่งฤดูกาล1983-84 จอห์น นีล พาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่นสองเล่นชั้นสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งแต่ต้องตกชั้นอีกรอบในฤดูกาล 1987-88 ก่อนที่จะเลื่อนชั้นอีกครั้งในฤดูกาล 1988-89 ด้วยการคว้าแชปม์และมีแต้มทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 17 คะแนน จากนั้นเป็นต้นมาเชลซีไม่ตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกเลย

ฤดูกาล 1993-94 เชลซีเข้าชิงชนะเลิศเอฟ เอคัพ ภายใต้การคุมทีมของ เกล็นน์ ฮ็อดเดิ้ล แต่แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-4 ต่อมา รุด กุลลิท สตาร์ทีมชาติฮอลแลนด์เข้ามาคุมทีมในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีมในปี 1996 และพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในปีต่อมา ด้วยการเอาชนะมิดเดิ้ลสโบรช์ 2-0 ต่อมา แต่ปี 1997 เชลซี เปลี่ยแปลงกุนซืออีกครั้งเมื่อตั้ง จิอันลูก้า วิอัลลี่ สตาร์ทีมชาติอิตาลีคุมทีมแทน กุลลิทในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการ

โดยยุคของวิอัลลี่ เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ ปี 1998 ด้วยการชนะมิดเดิ้ลสโบรช์ 2-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ และคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ด้วยการชนะสตุ๊ตการ์ท ทีมดังจากเยอรมัน 1-0 ตามด้วยแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ด้วยการชนะเรอัล มาดริด 1-0 พร้อมกับพาทีมจบอันดับ 3 พรีเมียร์ลีกตามหลังแชมป์อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด เพียง 4 แต้มเท่านั้น

ฤดูกาลต่อมา วิอัลลี่ ประกาศเลิกเล่นและคุมทีมเพียงอย่างเดียวก่อนพาทีมเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก แต่พ่าย บาร์เซโลน่า ด้วยผลรวม 2 นัด 6-4 ทั้งที่เอาชนะก่อนในเกมแรก 3-1 ขณะที่ผลงานในพรีเมียร์ลีกจบอันดับ 5 ก่อนปิดซีซั่น 199-9-2000 ด้วยแชมป์เอฟเอ คัพ หลังเอาชนะแอสตัล วิลล่า 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ

ฤดูกาล 2000-01 แม้ วิอัลลี่ จะพาทีมเริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยมเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าโล่การกุศลแชริตี้ ชีลด์ ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลอย่างเป็นทางการใบที่ 5 ของเจ้าตัวกับสโมสรในเวลาไม่ถึง 3 ปี ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของสโมสรในเวลานั้น แต่ วิอัลลี่ ถูกไล่ออกหลังคุมทีมลงเล่นเกมลีกไปเพียง 5 เกมเท่านั้นเนื่องจากผลงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชนะ 1 แพ้ 1 เสมอ 3 และมีปัญหากับผู้เล่นหลายคน รวมถึง จานฟรังโก้ โซลา, ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ และ แดน เปเตรสคู

เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือชาวอิตาลี่เข้ามาคุมทีมแทน โดยในยุคของรานิเอรีนั้น เชลซีมีผลงานติด 5 อันดับแรกของของพรีเมียร์ลีกอย่างสม่ำเสมอ และ พาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ได้อีกครั้งในปี 2002 แต่แพ้ อาร์เซน่อล 0-2 

ประวัติสโมสรฟุตบอลเชลซี

เดือนมิถุนายน 2003 เชลซี มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อ เคน เบตส์ ตัเสินใจขายสโมสรให้ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียในราคา 140 ล้านปอนด์ และทีมได้ทุ่มซื้อผู้เล่นชื่อดังมากมาย โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของสโมสรในการยกระดับเป็นทีมระดับโลกจนถึงปัจจุบัน โดย รานิเอรี่ ยังคงได้คุมทีมต่อไป ภายใต้การเปลี่ยนแปลงทีมอย่างมากมาย มีการใช้เงินกว่า 100 ล้านปอนด์ซื้อนักเตะชื่อดังหลายรายเข้ามาเสริมทีม แต่สุดท้าย เชลซี ไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรได้สักรายการ จบอันดับ 2 พรีเมียร์ลีก และตกรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ทำให้ รานิเอรี่ โดนปลดออกจากตำแหน่ง และเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุกีสเข้ามาคุมทีมแทน

มูรินโญ่ พาทีมประสบความสำเร็จมากมายเริ่มจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004-05 ด้วยคะแนนสูงถึง 95 คะแนน และเป็นครั้งแรกที่สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาจากฟุตบอลดิวิชั่นหนึ่ง และยังเอาชนะลิเวอร์พูลในนัดชิงชนะเลิศลีกคัพ 3-2

เชลซี ป้องกันแชมป์ลีกได้สำเร็จในปีต่อมา ถือเป็นสโมสรที่ 5 ในอังกฤษที่ได้แชมป์ลีก 2 สมัยติดต่อกันนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาในฤดูกาล 2006-07 เชลซีได้แชมป์ฟุตบอลถ้วยสองรายการ คือ เอฟเอ คัพ ที่เอาชนะชนะแมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 และ ลีก คัพ ที่ชนะ อาร์เซน่อล 2-1 

20 กันยายน 2007 มูรินโญ่ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง หลังจากทำผลงานไม่ดี แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-2, เสมอ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 0-0 และ เสมอ โรเซนบอร์ก 1-1 ประกอบกับมีปัญหากับผู้บริหาร โดยเป็น อัฟราม แกรนท์ เข้ามาคุมทีมต่อ และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกครั้งแรกแต่แพ้จุดโทษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมทั้งได้รองแชมป์ลีกคัพ และ พรีเมียร์ลีก ที่ได้ลุ้นถึงนัดสุดท้ายแต่โดนโบลตัน ตีเสมอ 1-1 ในนาทีสุดท้าย ทำให้มี 85 แต้ม ตามหลังทีมแชมป์อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด 2 แต้มให้แกรนท์ โดนปลดไปตามระเบียบ

ฤดูกาล 2008-09 หลุยส์ ฟิลิปเป สโคลารี่ กุนซือชาวบราซิเลี่ยนเขามาคุมทีมเข้ามาคุมทีมแต่ก็โดนปลดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2009 หลังจากนำทีมเสมอ ฮัลล์ 0-0 ตามหลังแมนฯ ยูไนเต็ด ทีมจ่าฝูง7 แต้ม โดยเป็น กุส ฮิดดิ้งค์ กุนซือชาวฮอลแลนด์ เข้ามารับตำแหน่งชั่วคราวและพาทีมผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกแต่แพ้บาร์เซโลนาด้วยกฏประตูทีมเยือน รวมทั้งจบอันดับ 3 ในลีก ก่อนปิดซีซั่นด้วยแชมป์เอฟเอคัพ หลังชนะเอฟเวอร์ตัน 2-1

ประวัติสโมสรฟุตบอลเชลซี

ฤดูกาล 2009-10 คาร์โล อันเชลอตติ ยอดกุนซือชาวอิตาเลี่ยน เข้ามาคุมทีมต่อจากฮิดดิ้งค์ และประเดิมด้วยชนะจุดโทษแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมคอมมิวนิตีชีลด์ ก่อนจะพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยสถิติยิงประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวน 103 ประตู พร้อมป้องกันแชมป์เอฟเอคัพได้ด้วยการชนะ พอร์ทสมัธ 1-0 ต่อมา ในฤดูกาล 2010-11 เชลซีเริ่มต้นด้วยการแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเกมคอมมิวนิตี ชีลด์  1-3 ก่อนจบฤดูกาลด้วยรองแชมป์ลีกและไม่มีแชมป์ติดมือทำให้ อันเชลอตติ  โดนปลดไปตามระเบียบ

ในฤดูกาล 2011-12 อันเดร วิลลาส-โบอาส กุนซือหนุ่มวัย 34 ปี (ในขณะนั้น) หลังทำผลงานยอดเยี่ยมกับปอร์โต้ ยักษ์ใหญ่ลีกโปรตุเกส แต่คุมทีมได้เพีง 9 เดือนก่อนที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2012 ขณะที่ "สิงโตน้ำเงินคราม" รั้งอันดับ 5 พรีเมียร์ลีกตามหลัง "จ่าฝูง" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 20 คะแนน แม้จะยังมีลุ้นในฟุตบอลยุโรป รวมทั้งในศึกเอฟเอคัพด้วย โดยเชลซีแต่งตั้ง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ เข้ารับตำแหน่งกุนซือชั่วคราวไปจนหมดฤดูกาล ซึ่งเขาพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรหลังเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมขากเยอรมันในการดวลจุดโทษ

ซึ่งเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนที่คว้าแชมป์ได้ รวมทั้งคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ จากการชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ทำให้ ดิ มัตเตโอ ได้รับสัญญาถาวร แต่ก็ถูกปลดในฤดูกาลต่อมา โดยเป็น ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือสแปนิชเข้ามาคุมทีมชั่วคราว โดยพาทีมคว้ารองแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ) หลังแพ้ โครินเธียนส์ สโมสรจากบราซิล 0-1 แต่คว้าแชมป์ยูโรปาลีก ได้เป็นสมัยแรกด้วยการชนะ เบนฟิก้ 2-1 ทำสถิติเป็นสโมสรแรกที่ได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกและยูโรปาลีกสองฤดูกาลติดต่อกัน รวมทั้งเป็นสโมสรที่ 4 ที่คว้าแชมป์ถ้วยหลักของยูฟ่าครบทั้ง 3 รายการ

ฤดูกาล 2013-14 โชเซ่ มูรินโญ่ กลับมาคุมทีมอีกครั้งแม้จะไม่ได้แชมป์อะไรเลยในปีแรก แต่ในปีต่อมาเขาพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และ แชมป์ลีก คัพ แต่ฤดูกาล 2015-16 เริ่มต้นด้วยการแพ้อาร์เซน่อล 0-1 ในเกมคอมมิวนิตี้ ชีลด์ และมีผลงานย่ำแย่ทำให้ มูรินโญ่ โดนปลดอีกรอบและเป็น กุส ฮิดดิ้งค์ เข้ามาคุมทีมชั่วคราวอีกครั้ง แต่ผลงานไม่ดีขึ้นจบฤดูกาลเพียงอันดับ 10 ไม่ได้ไปแข่งขันฟุตบอลยุโรป

ฤดูกาล 2016-17 อันโตนีโอ คอนเต้ กุนซือชาวอิตาเลี่ยนเข้ามาคุมทีม และทำทีมชนะ 13 นัดรวดเป็นสถิติใหม่สโมสรก่อนคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้รวมทั้งทำสถิติเป็นทีมแชมป์ที่ชนะ 30 นัดในลีก แต่ในฤดูกาลต่อมาทำได้เพียงรักษาอันดับไปเล่นยูโรปาลีก และแม้จะคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้จากการชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 แต่สุดท้ายคอนเต้ โดนปลดพ้นตำแหน่ง

เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือชาวอิตาเลียนเข้ามาคุมทีมต่อ และพาทีมชนะรวดหลายนัดในช่วงแรก ก่อนจะสะดุดในเวลาต่อมารวมทั้งการแพ้บอร์นมัธ 0-4 รวมถึงแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-6 ซึ่งเป็นการแพ้ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกของสโมสร ตามด้วยแพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-2 ตกรอบเอฟเอ คัพ และแพ้จุดโทษ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในนัดชิงชนะเลิศลีก คัพ แต่ทีมยังจบอันดับ 3 ในลีกและคว้าแชมป์ยูโรปาลีกได้ด้วยการชนะอาร์เซน่อล 4-1

ประวัติสโมสรฟุตบอลเชลซี

ฤดูกาล 2019-20 เชลซีไม่สามารถซื้อนักเตะใหม่ตลอดทั้งฤดูกาลเนื่องจากการทำผิดกฏการซื้อขายผู้เล่นเยาวชน แถมต้องเสียผู้เล่นสำคัญทั้ง เอแดน อาซาร์ และ ดาวิด ลุยส์ รวมไป ซาร์รี ลาออกไปคุมยูเวนตุส โดยแฟร้งค์ แลมพาร์ด ตำนานของสโมสรได้เข้ามาคุมทีมแทน แต่จากการที่ไม่สามารถเสริมตัวผู้เล่นได้โทำให้มีผลงานไม่สม่ำเสมอในช่วงแรก ก่อนจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก แต่แพ้ บาเยิร์น มิวนิก สุดท้ายเชลซี จบอันดับ 4 ในลีก และเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ แต่แพ้อาร์เซน่อล 1-2 จากนั้นแลมพาร์ดถูกปลดในเดือนมกราคม 2021 หลังผลงานย่ำแย่ในฤดูกาล 2020-21

โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือชาวเยอรมันเข้ามาคุมทีมต่อจากแลมพาร์ด และพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 2 ด้วยการชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 แต่ทำได้เพียงรองแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1 จากนั้นในฤดูกาล 2021-22 เชลซีคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ด้วยการชนะจุดโทษบียาร์เรอัล จากสเปน ตามด้วยแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2021 ด้วยการเอาชนะ พัลไมรัส จากบราซิล 2-1 ซึ่งถือเป็นแชมป์สมัยแรกในรายการนี้ พวกเขายังเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศลีก คัพ แต่แพ้ ลิเวอร์พูล ในการดวลจุดโทษ

เดือนมีนาคม 2022  โรมัน อบราโมวิช ออกแถลงการณ์ว่าตัดสินใจขายสโมสรอย่างเป็นทางการ และจะนำเงินส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือชาวยูเครนที่ได้รับผลกระทบจากจากการรุกรานของรัสเซีย นอกจากนี้อบราโมวิชยังไม่เอาเงินที่เชลซีติดค้างอยู่จำนวนกว่า 1,500 ล้านปอนด์ด้วย

ประวัติสโมสรฟุตบอลเชลซี

แต่ในวันที่ 12 มีนาคม รัฐบาลอังกฤษ ประกาศอายัดทรัพย์ทั้งหมดในสหราชอาณาจักร และห้ามทำธุรกรรมทางการเงินทุกประเภท เท่ากับว่ามหาเศรษฐีรัสเซีย จะไม่สามารถขายสโมสรเชลซีได้ ตลอดจนดำเนินการซื้อนักเตะ, ต่อสัญญาผู้เล่นใหม่, จำหน่ายสินค้าที่ระลึก, รวมถึงขายตั๋วใหม่เพิ่ม ไฟเขียวให้แค่คนถือตั๋วปีอยู่แล้วเข้าชมได้เท่านั้น รวมทั้งสั่งห้ามเข้าประเทศ

วันที่ 7 พฤษภาคม สโมสรยืนยันว่า ได้ตกลงขายหุ้นให้แก่กลุ่มนักธุรกิจ บลูโค 22 ลิมิเต็ด (BlueCo 22 Limited) ซึ่งนำโดย ท็อดด์ โบห์ลี่ และ มาร์ก วอลเตอร์ ชาวอเมริกัน รวมถึง ฮานสยอร์ก ไวส์ ชาวสวิส ด้วยมูลค่ากว่า 2,500 ล้านปอนด์ ก่อนที่เชลซีจะเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ได้เป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน แต่แพ้ลิเวอร์พูล ในการดวลจุดโทษไปอีกครั้ง และจบในอันดับที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก

30 พฤษภาคม 2022 เชลซีออกแถลงการณ์ บลูโค 22 ลิมิเต็ด เป็นเจ้าของใหม่อย่างเป็นทางการหลังขั้นตอนในการซื้อขายผ่านการเห็นชอบจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร และพรีเมียร์ลีก และในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2022 สโมสรได้ประกาศว่า บรูซ บัค จะก้าวลงจากตำแหน่งประธานสโมสรสรเมื่อสิ้นสุดเดือนมิถุนายน

หลังจากดำรงตำแหน่งมายาวนานตั้งแต่ ค.ศ. 2003 แต่จะยังรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอาวุโสให้แก่สโมสรโดย ท็อดด์ โบห์ลี จะเข้ามาดำรงตำแหน่งต่อควบคู่ไปกับการเป็นเจ้าของทีม ตามมาด้วยการลาออกของบุคคลสำคัญอีกสองรายได้แก่ มารินา กรานอฟสกายา ผู้อำนวยการของสโมสร และ ปีเตอร์ เช็ก ตำนานผู้รักษาประตูของทีมลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคนิคและศักยภาพ

วันที่ 7 กันยายน 2022 ทูเคิ่ล ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม หลังจากทำผลงานย่ำแย่ตั้งแต่ออกสตาร์ตฤดูกาล 2022-23 โดยรั้งอันดับ 6 ในลีกเก็บได้ 10 คะแนนจาก 6 นัด รวมทั้งแพ้ ดินาโม ซาเกร็บ 0-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก โดยวันต่อมาทีมประกาศตั้ง แกรม พ็อตเตอร์ ที่ทำผลงานได้ดีกับไบรท์ตันเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยสัญญายาว 5 ปีหรือจนถึงช่วงซัมเมอร์ปี 2027

เกียรติประวัติ

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชัน1/พรีเมียร์ลีก) (6 สมัย) : 1954-55, 2004-05, 2005-06, 2009-10, 2014-15, 2016-17

แชมป์ดิวิชั่นสอง (2 สมัย) : 1983-84, 1988-89

แชมป์เอฟเอ คัพ (8 สมัย) : 1969-70, 1996-96, 1999-00, 2006-07, 2008-09, 2009-10, 2011-12, 2017-18

แชมป์ลีกคัพ (5 สมัย) : 1964-65, 1997-98, 2004-05, 2006-07, 2014-15

ชนะเลิศคอมมิวนิตีชีลด์ (4 สมัย) : 1955, 2000, 2005, 2009

แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก (2 สมัย) : 2011-12, 2020-21

แชมป์ยูฟ่า ยูโรปา ลีก (2 สมัย) : 2012-13, 2018-19

แชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ (2 สมัย) : 1970-71, 1997-98

แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ (2 สมัย) : 1998, 2021

แชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ (1 สมัย) : 2021

ที่มา https://sport.trueid.net/detail/o6vYapX8YZvg

   

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สัตว์ที่ช้าที่สุดในโลก